เนื่องจากโรคเอดส์ เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอชไอวี ซึ่งมีผลในการทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้เสียไป ทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อฉวยโอกาส ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ เช่น โรคปอดบวม วัณโรค เชื้อรา และโรคมะเร็งได้ง่าย ผู้ป่วยมักเสียชีวิตด้วยโรคเหล่านี้ แนวทางในการใช้ยารักษาโรคเอดส์ จึงทำได้ 3 แนวทางด้วยกัน คือ
- หยุด หรือ ชลอการเพิ่มจำนวนของไวรัสโดยใช้ ยาต้านไวรัส (Antiviral therapy)
- เสริมภูมิต้านทานที่บกพร่อง โดยใช้ยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน
- รักษาโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากเชื้อฉวยโอกาสและโรคมะเร็ง
ยาต้านไวรัสเอชไอวี
ยาต้านไวรัสเอชไอวี มีด้วยกันหลายชนิด ออกฤทธิ์แตกต่างกันไป การเลือกใช้ยาจะพิจารณาตามความเหมาะสม สำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยแบบแผนการรักษาที่จะให้ผลดี และช่วยลดปัญหาเชื้อดื้อยาได้ จะต้องใช้ยา 3 ตัวรวมกันหรือมากกว่า ที่เรียกว่า Highly Active Antiretroviral Therapy (HAART) การรักษาด้วยวิธีนี้ จะทำให้อัตราป่วยจากโรคแทรกซ้อน และอัตราการตายของผู้ป่วยเอดส์ ลดลงได้อย่างมาก ถึงแม้จะยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ก็ตาม ดังนั้นผู้ป่วยควรให้ความสำคัญกับการรับประทานยา ตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
ปัจจุบันยาต้านไวรัสเอชไอวี สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม
- Nucleoside reverse transcriptase inhibitors (NRTIs)
- Non nucleoside reverse transcriptase inhibitors (NNRTIs)
- Protease inhibitors (PIs)
ข้อควรปฏิบัติในการรับประทานยา
- รับประทานยาตามที่กำหนด ทุกมื้อ และทุกวัน
- อย่าเปลี่ยนยาด้วยตนเอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์ ถ้าพบว่าปฏิบัติตามแผนการรักษาได้ยาก ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อค้นหาแนวทางการรักษาใหม่ที่เหมาะสม
- หากจะใช้ยาอื่นนอกเหนือที่แพทย์สั่ง ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนทุกครั้ง
- ควรรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ หากหยุดยาระยะหนึ่งแล้วมารับประทานต่อ ก็อาจทำให้เกิดเชื้อดื้อยา การรักษาจะยิ่งยากมากขึ้น
ปฏิกิริยาระหว่างยากับยา
ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง จนถึงระดับหนึ่ง อาจติดเชื้อแทรกซ้อนได้ เช่น เชื้อรา เชื้อวัณโรค ฯลฯ ยาที่ใช้รักษาเชื้อแทรกซ้อนเหล่านี้ รวมทั้งยาอื่นๆ ที่ใช้ร่วม อาจมีผลต่อระดับยาต้านไวรัส HIV ในเลือดได้ ยกตัวอย่างเช่น
- ยาต้านเชื้อรา ได้แก่ Ketoconazole, Itraconazole มีผลเพิ่มระดับยาต้านไวรัสในเลือด
- ยาต้านเชื้อวัณโรค ได้แก่ Rifampin มีผลลดระดับยาต้านไวรัสในเลือด
- ยารักษาไมเกรน ได้แก่ Ergotamine ไม่ควรรับประทานร่วมกับยาต้านไวรัส HIV เพราะมีผลทำให้การไหลเวียนของเลือดบริเวณปลายมือปลายเท้าลดลง
- ยานอนหลับ ได้แก่ Midazolam, Triazolam มีผลทำให้ฤทธิ์ยานอนหลับยาวนานขึ้น
ยาหลายๆ ชนิด จะมีผลต่อระดับยาต้านไวรัส HIV ในเลือด อาจทำให้เกิดความเป็นพิษจากยาได้ หรืออาจทำให้การรักษาไม่ได้ผล ดังนั้นหากจะใช้ยาตัวอื่นๆ นอกเหนือจากที่แพทย์สั่ง ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนทุกครั้ง
การใช้ยาเหล่านี้ร่วมกันยาต้านไวรัส HIV อาจมีเปลี่ยนแปลงระดับยาในเลือดได้
ยาที่ใช้ร่วม
|
ผลที่เกิด
|
ยาต้านเชื้อรา ได้แก่ Ketoconazole | เพิ่มระดับยาต้านไวรัส HIV |
ยาต้านเชื้อวัณโรค ได้แก่ Rifampin | ลดระดับยาต้านไวรัส HIV |
ยาลดไขมันในเลือด ได้แก่ Simvastatin, Lovastatin | เพิ่มระดับยาลดไขมันในเลือด |
ยากันชัก ได้แก่ Phenobarbitol, Phenytoin, Carbamazepine | ลดระดับยาต้านไวรัส HIV |
ปฏิกิริยาระหว่างยากับสมุนไพร
สมุนไพรบางชนิด ได้แก่ St.John’s wort, Grapefruit juice มีผลลดระดับยาต้านไวรัสในเลือด ทำให้การรักษาการติดเชื้อ HIV ไม่ได้ผล จึงควรหลีกเลี่ยงสมุนไพรดังกล่าว
สมุนไพรที่ใช้ร่วม
|
ผลที่เกิด
|
St. John’s wort | ลดระดับยาต้านไวรัส HIV |
ปฏิกิริยาระหว่างยากับอาหาร
ยาต้านไวรัส
|
ผลของอาหาร
|
คำแนะนำในการรับประทานยา
|
กลุ่ม NRTIs ได้แก่ Videx (ddI) | อาหารลดระดับยาในเลือดลงร้อยละ 55 | รับประทานก่อนอาหารหนึ่งชั่วโมง หรือหลังอาหาร 2 ชั่วโมง |
กลุ่ม PIs ได้แก่ Crixivan (Indinavir) | อาหารลดระดับยาในเลือดลงร้อยละ 77 Grapefruit juice ลดระดับยา indinavir ลงร้อยละ 26 |
รับประทานก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง หรือ หลังอาหาร 2 ชั่วโมง |
กลุ่ม NNRTIs ได้แก่ Stocrin (Efavirenz) | อาหารที่มีไขมันสูงจะเพิ่มระดับยาในเลือด ร้อยละ 50 ซึ่งอาจทำให้เกิดพิษจากยาได้ | ไม่ควรรับประทานพร้อมกับอาหารที่มีไขมันสูง |
อาการไม่พึงประสงค์ของยาต้านไวรัส HIV
ยาต้านไวรัส
|
อาการไม่พึงประสงค์
|
- กลุ่ม NRTIs | |
คลื่นไส้อาเจียน โลหิตจาง เม็ดเลือดขาวต่ำ | |
ตับอ่อนอักเสบ, ชาปลายมือปลายเท้า, กรดยูริกในเลือดสูง | |
ตับอ่อนอักเสบ, ชาปลายมือปลายเท้า | |
ปฏิกิริยาภูมิแพ้, อ่อนเพลีย, เปลี้ย, น้ำหนักลด | |
- กลุ่ม NNRTIs | |
ผื่น, อาการข้างเคียงของระบบประสาทส่วนกลาง (มึนงง, นอนไม่หลับ, ฝันร้าย), เอนไซม์ตับเพิ่ม | |
ผื่น, ตับอักเสบ, เอนไซม์ตับเพิ่ม | |
- กลุ่ม PIs | |
ยากลุ่มนี้ทำให้เกิดน้ำตาลในเลือดสูง, ไขมันในเลือดสูง, การสะสมของเนื้อเยื่อไขมันในร่างกายผิดปกติ (แก้มตอบ, แขนขาลีบ, ท้องโต, มีหนอกที่หลัง) หมายเหตุ: Crixivan ทำให้เกิดนิ่วในไต ดังนั้นควรดื่มน้ำมาก ๆ ตามไปอีก 1 ลิตร หลังรับประทานยา |
อาการเหล่านี้ อาจเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยบางราย
หากท่านเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยา ให้กลับมาพบแพทย์ทันทีเพื่อปรับเปลี่ยนการรักษา
วิธีการเก็บรักษายา
- เก็บยาให้พ้นแสง
- เก็บยาให้พ้นมือเด็ก
- ยาเม็ด Norvir (Ritonavir) ควรเก็บในตู้เย็น อุณหภูมิ 2-8°C
- ยาน้ำ Norvir (Ritonavir) ไม่ควรเก็บในตู้เย็น
- ยาเม็ดแคปซูลนิ่ม Fortovase (Saquinavir) สามารถเก็บในตู้เย็น อุณหภูมิ 2-8°C หรือที่อุณหภูมิห้อง (เก็บได้นานถึง 3 เดือน)
- Kaletra (Lopinavir/Ritonavir) สามารถเก็บในตู้เย็น หรือที่อุณหภูมิห้อง (เก็บได้นาน 2 เดือน)
- Crixivan, Viracept เก็บที่อุณหภูมิห้อง
© 2003 ฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลรามาธิบดี